พอกล่าวถึงการตีพิมพ์ในสารวารที่มีการ
Peer
review นั้นก็จะมีเรื่องให้ต้องคิดอีกว่าแล้วจะไปตีพิมพ์ในวารสารอะไรดี
เนื่องจากบนโลกนี้มีวารสารสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่มากมายมหาศาล
แน่นอนว่าวารสารก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งพิมพ์อื่นๆ (หรืออาจพูดได้ว่าไม่ต่างอะไรกับสินค้าอื่นๆ)
คือมีความหลายหลายสูงมากในแง่คุณภาพและราคา
แต่ราคาในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงราคาที่เป็นเงินที่ต้องจ่ายเสมอไป
แต่อาจจะเป็นกำลังสมองและกำลังกายที่ต้องทุ่มเทให้กับการทำงานวิจัยตลอดการเรียนปริญญาโทหรือปริญญาเอก
ในการจัดระดับคุณภาพของวารสารวิชาการนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำกันได้ง่ายนักและไม่ได้เป็นที่ยอมรับของทุกคนเสมอไป
แต่เพื่อให้ชีวิตเราง่ายหน่อย เราก็ควรจะต้องยอมรับการจัดระดับในวงการวิชาการที่เราดำรงอยู่
ซึ่งในสาขาเทคโนโลยีอาหารและอีกหลายสาขาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นวารสารที่เราถือว่ามีคุณภาพสูงคือวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เดิมเรียกว่า
ISI (Institute for Scientific Information)
ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Thomson Reuters ปัจจุบันเราสามารถค้นหาบทความที่อยู่ในฐาน
ISI ได้ผ่านทางเว็บไซต์ Web of Science (แต่ต้องระวังให้เลือกฐานข้อมูลที่ต้องการค้นเฉพาะ Science Citation
Index Expanded เท่านั้น) ISI ยังได้พยายามจัดลำดับของวารสารในแต่ละสาขาด้วยค่าที่เรียกว่า
Impact factor (IF) ซึ่งในความหมายง่ายๆ
ก็คือจำนวนการอ้างอิงบทความในวารสารหนึ่งๆ เทียบกับจำนวนบทความที่วารสารนั้นตีพิมพ์ในช่วงเวลาหนึ่งๆ
ในแนวคิดก็คือถ้าวารสารตีพิมพ์บทความที่ดี น่าสนใจ
ก็จะมีการอ้างอิงบทความนั้นมากทำให้วารสารนั้นมีค่า IF สูงไปด้วย
เช่น วารสาร Nature ที่เป็นวารสารทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากนั้นมีค่า
IF สูงมากที่ประมาณ 41 ถึงแม้ว่าจะมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการใช้ค่า
IF เป็นตัวระบุคุณภาพของวารสาร
แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีค่าอื่นๆ ที่มีการใช้กันกว้างขวางเท่า ค่า IF มีการตีพิมพ์ออกมาทุกปีประมาณเดือนมิถุนายนในเว็บที่เรียกว่า Journal
Citation Reports (JCR) ซึ่งถือว่าเป็นอีกบริการหนึ่งของ ISI
ที่ต้องเสียเงินจึงจะดูได้
แต่หากเราสนใจแค่ว่าวารสารที่เรากำลังจะส่งงานไปตีพิมพ์นั้นมีค่า IF เท่าใดก็เข้าไปที่เว็บไซต์ของวารสารนั้นๆ ซึ่งมักจะมีระบุไว้เสมอ (ภาพที่ 1) โดยค่า IF จะเป็นค่าย้อนหลังเสมอ เช่นปัจจุบันปี 2015
IF ล่าสุดที่มีการรายงานออกมาคือ IF ของปี 2014
ภาพที่ 1
หน้าเว็บของวารสารซึ่งแสดงค่า IF (1.384) พร้อมทั้งลำดับตามการจัดของ
JCR (57 จาก 123 ในกลุ่ม Food
Science & Technology)
|
สำหรับวารสารในกลุ่ม Food
Science & Technology ที่อยู่ในฐาน ISI นั้นปัจจุบันมีอยู่
123 วารสาร ซึ่งไม่ได้มีแค่วารสารที่มีชื่อที่มีคำว่า food
เท่านั้น เช่น วารสาร Postharvest Biology and Technology,
Cereal Chemistry, European Journal of Lipid Science and Technology ฯลฯ ก็อยู่ในกลุ่ม Food Science & Technology เช่นกัน เช่นเดียวกันวารสารในด้าน Food Science &
Technology บางวารสารก็อาจถูกจัดในกลุ่มอื่นด้วย เช่น วารสาร Food
Chemistry ยังถูกจัดในกลุ่ม Chemical Engineering ด้วย ค่า IF ของวารสารในกลุ่ม Food Science
& Technology นั้นไม่สูงเท่ากับสายอื่นๆ
โดยวารสารที่มีค่าสูงสุดคือช่วง 4-6 นั้นจะเป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความประเภท
Review อย่างเดียวเช่น Annual Review of Food Science
and Technology (IF= 6.289), Trends in Food Science &
Technology (IF=4.651) เป็นต้น
ส่วนวารสารที่ตีพิมพ์บทความวิจัยนั้นก็ไล่ลงมาเรื่อยๆ เช่น Food
Hydrocolloids (IF=4.09), Food Chemistry (IF=3.391), European
Food Research and Technology (IF=1.559),
International Journal of Food Properties (IF=0.915), International
Journal of Food Engineering (IF=0.497) เป็นต้น
ย้อนกลับไปที่ว่าวารสารในฐาน
ISI
ได้รับการยอมรับมากนั้นก็ขอยกตัวอย่างให้เห็น เช่น ล่าสุดนักศึกษาปริญญาเอกที่ได้รับทุนจากโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก
(คปก.) ของ สกว. นั้นถูกกำหนดให้ตีพิมพ์เฉพาะในวารสารที่อยู่ใน ISI และต้องเป็นวารสารที่มีค่า IF ด้วย จำนวน 2 เรื่อง จากเดิมที่เคยยอมรับวารสารนานาชาติอื่นๆ ด้วย
สำหรับวารสารที่จัดทำโดยหน่วยงานในประเทศไทยที่อยู่ในฐาน
ISI
นั้นปัจจุบันก็มีอยู่จำนวนหนึ่งโดยที่น่าจะพอเกี่ยวข้องกับนักศึกษาก็ได้แก่
Chiang Mai Journal of Science (IF=0.371), Maejo
International Journal of Science and Technology (IF=0.367) และ ScienceAsia
(IF=0.347)
แน่นอนว่านักศึกษาและนักวิจัยส่วนใหญ่อยากตีพิมพ์ผลงานของตนลงในวารสารที่มีค่า
IF สูง แต่ที่แน่นอนยิ่งกว่าก็คือไม่ใช่ทุกงานจะตีพิมพ์ในวารสาร
IF สูงได้
การเลือกวารสารสำหรับตีพิมพ์จึงเป็นทั้งเรื่องของการเข้าใจงานของเราและเข้าใจวารสาร
เช่น งานของเราเป็น chemistry มากๆ
แต่เราอยากจะตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Food Engineering ก็อาจจะมีโอกาสการตอบรับน้อย
หรืองานของเราเป็นการแปรรูปแต่เราอยากจะไปตีพิมพ์ในวารสาร Postharvest
Biology and Technology ก็ไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นค่า IF
จึงเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่เราใช้ประกอบในการเลือกวารสารที่เราจะตีพิมพ์
บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่างานของเรามีปริมาณงานหรือการวิเคราะห์ด้วยวิธีจำกัด หรือเป็นงานที่มีขอบเขตการวิจัยเฉพาะ
เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาเฉพาะทาง ก็จำเป็นต้องพิจารณาวารสารที่ตรงกับงานวิจัยแต่อาจมี
IF ต่ำลงมาซึ่งก็อาจมีโอกาสได้รับการตอบรับมากขึ้น เช่นถ้าทำวิจัยด้านคาร์โบไฮเดรต
ก็ไม่จำเป็นต้องดูเฉพาะจะตีพิมพ์ใน LWT-Food Science and Technology เท่านั้น อาจดูพวก Carbohydrate Polymers, Carbohydrate Research, Journal
of Carbohydrate Chemistry หรือหากทำงานด้านที่มีการทำ sensory
อย่างดี ก็ยังมี Food
Quality and Preference หรือหากทำงานด้านที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโมเดลคณิตศาสตร์ด้วยซอฟท์แวร์ก็ยังมีวารสารอย่าง
Computers and Electronics in Agriculture อีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น