แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ISI แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ISI แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ISI, Scopus, TCI, Beall's List, ... (ตอนที่ 2)



        นอกเหนือจากฐาน ISI แล้วปัจจุบันยังมีอีกฐานข้อมูลบทความวิจัยที่เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ คือ Scopus ซึ่งเป็นของบริษัท Elsevier (เจ้าของ ScienceDirect) ซึ่งปัจจุบันเขาเคลมว่าเป็นฐานข้อมูลงานวิจัยที่มีระบบกลั่นกรอง (peer review) ที่ใหญ่ที่สุด โดยส่วนใหญ่วารสารที่อยู่ในฐาน ISI มักจะอยู่ใน Scopus ด้วย แต่วารสารที่อยู่ใน Scopus อาจจะไม่อยู่ใน ISI อย่างเช่นวารสารของหน่วยงานในประเทศไทยที่อยู่ใน Scopus จะมีมากกว่า ISI เช่น Engineering Journal, Songklanakarin Journal of Science and Technology, Walailak Journal of Science and Technology, Maejo International Journal of Science and Technology, Chiang Mai Journal of Science, ScienceAsia, Kasetsart Journal - Natural Science, International Agricultural Engineering Journal เป็นต้น ฐาน Scopus เองก็จะคล้ายกับฐาน ISI คือมีแค่ abstract แล้วก็ข้อมูลอื่นๆ เช่น ข้อมูลการอ้างอิงบทความต่างๆ โดย Scopus เป็นฐานข้อมูลที่ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าใช้ แต่ถ้าไม่ได้จ่ายเงินจะดูได้เพียงส่วนที่เรียกว่า Author preview ซึ่งหมายถึงเราสามารถเอาชื่อนักวิจัยคนหนึ่งใส่เข้าไป (ส่วนใหญ่คือใช้ surname) แล้วจะได้ข้อมูลว่าคนคนนั้นตีพิมพ์บทความอะไรบ้างที่อยู่ในฐานข้อมูล Scopus


          เมื่อพูดถึง Scopus ก็จำเป็นต้องต้องพูดถึงเว็บ SCImago Journal Rank (www.scimagojr.com) ซึ่งเป็นเว็บเครือญาติของ Scopus  โดยเว็บของของ SCImago Journal Rank เป็นเว็บสำหรับให้ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องกับวารสารที่อยู่ในฐาน Scopus  (ภาพที่ 1) โดยที่สำคัญคือการทำ SCImago Journal Rank (SJR) indicator ซึ่งก็เป็นดัชนีระบุระดับของวารสารที่เอามาแข่งกับระบบค่า impact factor (IF) ของ ISI โดยทางบริษัท Elsevier ก็พยายามบอกว่าตัวค่า SJR ของเขานั้นดีกว่า IF ของ ISI  




ภาพที่ 1 หน้าเว็บของ SCImago Journal & Country Rank แสดงวารสารของไทยที่อยู่ในฐาน

          แล้วตกลงถ้าอยากรู้ว่าวารสารที่เราสนใจอยู่ในฐาน Scopus หรือไม่นั้นจะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่าหากสามารถเข้าใช้ Scopus แบบเต็มได้ก็ค้นหาได้เลย แต่ถ้าค้นไม่ได้อีกทางที่สามารถทราบได้คือการดูใน Scopus journal title list จาก http://www.elsevier.com/solutions/scopus/content ซึ่งจะมีไฟล์ Excel ที่มีรายชื่อวารสารทั้งที่อยู่ในปัจจุบันหรือเคยอยู่ เนื่องจากบางวารสารก็ถูกคัดออกได้เหมือนกันเมื่อคุณภาพไม่เป็นไปตามเกณฑ์ โดยมีการเพิ่มเติมแก้ไขอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นหากเราวางแผนจะตีพิมพ์ในวารสารหนึ่งก็ต้องตรวจสอบก่อนว่าวารสารนั้นยังอยู่ใน list หรือไม่ โดยเฉพาะสำหรับวารสารเล็กๆ หรือวารสารแปลกๆ 


         นอกจากนี้หากให้ความสำคัญกับลำดับของวารสารก็จะต้องใช้เว็บของ SCImago Journal Rank ซึ่งมีการให้คะแนน SJR และจัดลำดับวารสารเป็นควอไทล์ (Quartile) Q1-Q4 (Q1 คือดีสุด) (ภาพที่ 2)  แต่ข้อมูลจะมีลักษณะย้อนหลัง เช่น ปัจจุบันปี 2015 ก็จะมีการจัดลำดับของข้อมูลปี 2014 เป็นปีล่าสุด ดังนั้นบางวารสารใน Scopus อาจจะยังไม่เข้าไปอยู่ใน SJR 




ภาพที่ 3 การจัดควอไทล์ของวารสาร

          เนื่องจาก Scopus เป็นฐานข้อมูลใหม่ การยอมรับในแง่คุณภาพของวารสารที่อยู่ในฐานอาจจะแตกต่างกับของ ISI อยู่บ้าง เช่น ในกรณีของการจัดลำดับคุณภาพการวิจัยของ สกว. นั้นให้น้ำหนักกับวารสารที่อยู่ใน ISI สูงกว่าเล็กน้อย เช่น วารสารใน Q1 ของ ISI (เฉพาะ Science Citation Index Expanded) นั้นได้รับ Rating  = 5 แต่วารสารใน Q1 ของวารสารใน Scopus จะมีระดับเท่ากับ Q2 ของ ISI คือ Rating = 4 เป็นต้น แต่ในกรณีอื่น เช่นการประเมินคุณภาพการศึกษาของ สกอ. นั้นให้น้ำหนักเท่ากัน
          วารสารในกลุ่ม Food Science ของ Scopus นั้นมีอยู่ประมาณ 240 วารสาร (ภาพที่ 3) แต่อาจจะไม่ใช่วารสารที่ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น 



ภาพที่ 3 การค้นหาวารสารในกลุ่ม Food Science บน SJR


 

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ISI, Scopus, TCI, Beall's List, ... (ตอนที่ 1)

            การเรียนและการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (หมายถึงนักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก) นั้นถูกบังคับโดยเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2548 โดยเกณฑ์สำคัญอย่างหนึ่งของการสำเร็จการศึกษาคือการที่นักศึกษาจะต้องนำผลงานจากการทำวิทยานิพนธ์นั้นไปเผยแพร่ตามรูปแบบที่กำหนด เช่น ถ้าเรียนปริญญาโท แผน ก (หมายถึงภาคปรกติ) อย่างน้อยก็คือต้องไปเสนอผลงานในการประชุมวิชาการที่มีรายงานการประชุม (Proceeding) หมายความว่าถ้าไปเสนอผลงานในการประชุมที่ไม่มีรายงานการประชุม (มีแค่ Abstract) ก็ยังไม่ได้ คำว่ารายงานการประชุมที่เป็นที่ยอมรับกันคือการที่รายงานการประชุมนั้นต้องมีเรื่องเต็ม (full paper) ตีพิมพ์โดยอาจเป็นเล่มหรือว่าบรรจุในแผ่นซีดี หรือแค่ on-line ก็ยอมรับได้ แต่สำหรับนักศึกษาปริญญาเอกนั้นแค่นี้ไม่เพียงพอ นักศึกษาปริญญาเอกจะต้องตีพิมพ์ในวารสารหรือสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีกรรมการภายนอกมาร่วมกลั่นกรอง (เรียกว่ามีระบบ peer review) ซึ่งในสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นการตีพิมพ์ในรูปของวารสาร (Journal) เป็นสิ่งที่ทำกันมากที่สุด นักศึกษาปริญญาโทเองก็สามารถจบการศึกษาได้ด้วยการตีพิมพ์ในวารสารเช่นเดียวกัน (ถ้าไม่อยากไปนำเสนองานในการประชุมวิชาการ)
          พอกล่าวถึงการตีพิมพ์ในสารวารที่มีการ Peer review นั้นก็จะมีเรื่องให้ต้องคิดอีกว่าแล้วจะไปตีพิมพ์ในวารสารอะไรดี เนื่องจากบนโลกนี้มีวารสารสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอยู่มากมายมหาศาล แน่นอนว่าวารสารก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งพิมพ์อื่นๆ (หรืออาจพูดได้ว่าไม่ต่างอะไรกับสินค้าอื่นๆ) คือมีความหลายหลายสูงมากในแง่คุณภาพและราคา แต่ราคาในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงราคาที่เป็นเงินที่ต้องจ่ายเสมอไป แต่อาจจะเป็นกำลังสมองและกำลังกายที่ต้องทุ่มเทให้กับการทำงานวิจัยตลอดการเรียนปริญญาโทหรือปริญญาเอก
          ในการจัดระดับคุณภาพของวารสารวิชาการนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำกันได้ง่ายนักและไม่ได้เป็นที่ยอมรับของทุกคนเสมอไป แต่เพื่อให้ชีวิตเราง่ายหน่อย เราก็ควรจะต้องยอมรับการจัดระดับในวงการวิชาการที่เราดำรงอยู่ ซึ่งในสาขาเทคโนโลยีอาหารและอีกหลายสาขาของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นวารสารที่เราถือว่ามีคุณภาพสูงคือวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เดิมเรียกว่า ISI (Institute for Scientific Information) ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Thomson Reuters ปัจจุบันเราสามารถค้นหาบทความที่อยู่ในฐาน ISI ได้ผ่านทางเว็บไซต์ Web of Science (แต่ต้องระวังให้เลือกฐานข้อมูลที่ต้องการค้นเฉพาะ Science Citation Index Expanded เท่านั้น) ISI ยังได้พยายามจัดลำดับของวารสารในแต่ละสาขาด้วยค่าที่เรียกว่า Impact factor (IF) ซึ่งในความหมายง่ายๆ ก็คือจำนวนการอ้างอิงบทความในวารสารหนึ่งๆ เทียบกับจำนวนบทความที่วารสารนั้นตีพิมพ์ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ในแนวคิดก็คือถ้าวารสารตีพิมพ์บทความที่ดี น่าสนใจ ก็จะมีการอ้างอิงบทความนั้นมากทำให้วารสารนั้นมีค่า IF สูงไปด้วย เช่น วารสาร Nature ที่เป็นวารสารทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากนั้นมีค่า IF สูงมากที่ประมาณ 41 ถึงแม้ว่าจะมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการใช้ค่า IF เป็นตัวระบุคุณภาพของวารสาร แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีค่าอื่นๆ ที่มีการใช้กันกว้างขวางเท่า ค่า IF มีการตีพิมพ์ออกมาทุกปีประมาณเดือนมิถุนายนในเว็บที่เรียกว่า Journal Citation Reports (JCR) ซึ่งถือว่าเป็นอีกบริการหนึ่งของ ISI ที่ต้องเสียเงินจึงจะดูได้ แต่หากเราสนใจแค่ว่าวารสารที่เรากำลังจะส่งงานไปตีพิมพ์นั้นมีค่า IF เท่าใดก็เข้าไปที่เว็บไซต์ของวารสารนั้นๆ ซึ่งมักจะมีระบุไว้เสมอ (ภาพที่ 1) โดยค่า IF จะเป็นค่าย้อนหลังเสมอ เช่นปัจจุบันปี 2015 IF ล่าสุดที่มีการรายงานออกมาคือ IF ของปี 2014


ภาพที่ 1 หน้าเว็บของวารสารซึ่งแสดงค่า IF (1.384) พร้อมทั้งลำดับตามการจัดของ JCR (57 จาก 123 ในกลุ่ม Food Science & Technology)

         สำหรับวารสารในกลุ่ม Food Science & Technology ที่อยู่ในฐาน ISI นั้นปัจจุบันมีอยู่ 123 วารสาร ซึ่งไม่ได้มีแค่วารสารที่มีชื่อที่มีคำว่า food เท่านั้น เช่น วารสาร Postharvest Biology and Technology, Cereal Chemistry, European Journal of Lipid Science and Technology ฯลฯ ก็อยู่ในกลุ่ม Food Science & Technology เช่นกัน  เช่นเดียวกันวารสารในด้าน Food Science & Technology บางวารสารก็อาจถูกจัดในกลุ่มอื่นด้วย เช่น วารสาร Food Chemistry ยังถูกจัดในกลุ่ม Chemical Engineering ด้วย ค่า IF ของวารสารในกลุ่ม Food Science & Technology นั้นไม่สูงเท่ากับสายอื่นๆ โดยวารสารที่มีค่าสูงสุดคือช่วง 4-6 นั้นจะเป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความประเภท Review อย่างเดียวเช่น Annual Review of Food Science and Technology (IF= 6.289), Trends in Food Science & Technology (IF=4.651) เป็นต้น ส่วนวารสารที่ตีพิมพ์บทความวิจัยนั้นก็ไล่ลงมาเรื่อยๆ เช่น Food Hydrocolloids (IF=4.09), Food Chemistry (IF=3.391), European Food Research and Technology (IF=1.559),  International Journal of Food Properties (IF=0.915), International Journal of Food Engineering (IF=0.497) เป็นต้น


          ย้อนกลับไปที่ว่าวารสารในฐาน ISI ได้รับการยอมรับมากนั้นก็ขอยกตัวอย่างให้เห็น เช่น ล่าสุดนักศึกษาปริญญาเอกที่ได้รับทุนจากโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ของ สกว. นั้นถูกกำหนดให้ตีพิมพ์เฉพาะในวารสารที่อยู่ใน ISI และต้องเป็นวารสารที่มีค่า IF ด้วย จำนวน 2 เรื่อง จากเดิมที่เคยยอมรับวารสารนานาชาติอื่นๆ ด้วย


          สำหรับวารสารที่จัดทำโดยหน่วยงานในประเทศไทยที่อยู่ในฐาน ISI นั้นปัจจุบันก็มีอยู่จำนวนหนึ่งโดยที่น่าจะพอเกี่ยวข้องกับนักศึกษาก็ได้แก่ Chiang Mai Journal of Science (IF=0.371), Maejo International Journal of Science and Technology (IF=0.367) และ ScienceAsia (IF=0.347)  


          แน่นอนว่านักศึกษาและนักวิจัยส่วนใหญ่อยากตีพิมพ์ผลงานของตนลงในวารสารที่มีค่า IF สูง แต่ที่แน่นอนยิ่งกว่าก็คือไม่ใช่ทุกงานจะตีพิมพ์ในวารสาร IF สูงได้ การเลือกวารสารสำหรับตีพิมพ์จึงเป็นทั้งเรื่องของการเข้าใจงานของเราและเข้าใจวารสาร เช่น งานของเราเป็น chemistry มากๆ แต่เราอยากจะตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Food Engineering ก็อาจจะมีโอกาสการตอบรับน้อย หรืองานของเราเป็นการแปรรูปแต่เราอยากจะไปตีพิมพ์ในวารสาร Postharvest Biology and Technology ก็ไม่น่าเป็นไปได้เช่นกัน ดังนั้นค่า IF จึงเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่เราใช้ประกอบในการเลือกวารสารที่เราจะตีพิมพ์ บางครั้งเราก็ต้องยอมรับว่างานของเรามีปริมาณงานหรือการวิเคราะห์ด้วยวิธีจำกัด หรือเป็นงานที่มีขอบเขตการวิจัยเฉพาะ เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาเฉพาะทาง ก็จำเป็นต้องพิจารณาวารสารที่ตรงกับงานวิจัยแต่อาจมี IF ต่ำลงมาซึ่งก็อาจมีโอกาสได้รับการตอบรับมากขึ้น เช่นถ้าทำวิจัยด้านคาร์โบไฮเดรต ก็ไม่จำเป็นต้องดูเฉพาะจะตีพิมพ์ใน LWT-Food Science and Technology เท่านั้น อาจดูพวก Carbohydrate Polymers, Carbohydrate Research, Journal of Carbohydrate Chemistry หรือหากทำงานด้านที่มีการทำ sensory อย่างดี ก็ยังมี  Food Quality and Preference หรือหากทำงานด้านที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโมเดลคณิตศาสตร์ด้วยซอฟท์แวร์ก็ยังมีวารสารอย่าง Computers and Electronics in Agriculture อีก