แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตีพิมพ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตีพิมพ์ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การจัดลำดับมหาวิทยาลัยโลก (World University Ranking) 2

   สำหรับเกณฑ์ในการจัดลำดับมหาวิทยาลัยของ THE นั้นทาง THE ระบุว่าเป็นการประเมินมหาวิทยาลัยที่เน้นการวิจัย (research- intensive university) โดยใช้เกณฑ์ 13 ตัว เพื่อประเมินองค์ประกอบหลักของมหาวิทยาลัย คือ การสอน (teaching), การวิจัย (research), การถ่ายทอดองค์ความรู้ (knowledge transfer) และ ความเป็นสากล (international outlook) โดยในปี 2015-2016 นี้เขาได้แบ่งกลุ่มตัวชี้วัดออกเป็น 5 กลุ่มคือ
1. การสอน (สิ่งแวดล้อมของการเรียนการสอน) 30%
   - การสำรวจชื่อเสียงด้านการสอน  15%
   - สัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษา 4.5%
   - สัดส่วนนักศึกษาปริญญาเอกต่อปริญญาตรี 2.25%
   - การให้ทุนปริญญาเอกแก่บุคคลากร  6%
   - รายได้ 2.25%
2. การวิจัย (ปริมาณ, รายได้, ชื่อเสียง) 30%
   - ชื่อเสียง 18%
   - เงินวิจัย 6%
   - ผลงานตีพิมพ์บนฐาน Scopus 6%
3. การอ้างอิง บนฐาน Scopus  30%
4. ความเป็นสากล (บุคคลากร, นักศึกษา, การวิจัย) 7.5%
   - สัดส่วนนักศึกษาต่างชาติต่อนักศึกษาในประเทศ 2.5%
   - สัดส่วนอาจารย์ต่างชาติต่อนักศึกษาในประเทศ 2.5%
   - ความร่วมมือระดับนานาชาติโดยดูจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ 2.5%
5. รายได้จากอุตสาหกรรม (การถ่ายทอดองค์ความรู้) 2.5%

   นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้สอนระดับปริญญาตรี หรือมหาวิทยาลัยที่มีงานวิจัยน้อยกว่า 200 บทความต่อปีตลอดช่วงปี 2010 -14 จะไม่ได้รับการพิจารณา

   ส่วนการเก็บข้อมูลนั้นเป็นการเก็บข้อมูลโดยตรงจากมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากนี้ข้อมูลบางอย่างเช่น ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยจะได้จากการทำสำรวจ (survey) แบบออนไลน์ 
  

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หาชื่อย่อวารสารด้วย CASSI

      ในการเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารหรือส่งไปงานประชุมวิชาการนั้นหลายครั้งจำเป็นต้องเขียนเอกสารอ้างอิงโดยใช้ชื่อวารสารแบบย่อ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะย่อเองได้ เว็บที่เป็นแหล่งข้อมูลทางบรรณานุกรมของวารสารที่สำคัญคือ The CAS Source Index (CASSI) Search Tool ซึ่งเราสามารถเข้าใช้ได้ฟรี ซึ่งหลังจากกดยอมรับเงื่อนไขเข้ามาแล้วจะเห็นหน้าสำหรับค้นหาวาสาร

   เช่นถ้าผมอยากได้ชื่อย่อของวารสาร Food Chemistry ก็พิมพ์ชื่อวารสารเข้าไปและกด search ก็จะได้ผลออกมาโดยที่อาจจะมีหลายชื่อที่มีคำว่า food กับ chemistry เนื่องจากเราไม่ได้เลือกคลิกตรง "Exact match"

    เมื่อคลิกเลือกดูที่รายการ Food Chemistry ซึ่งตรงกับวารสารที่เราต้องการจะเห็นรายละเอียดดังนี้


     ตรงที่ผมไฮไลท์สีเหลืองคือชื่อย่อของวารสาร


การค้นหาการอ้างอิงผลงานด้วย Scopus Author Preview

      Scopus เป็นฐานข้อมูลผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ขนาดใหญ่ซึ่งผมเคยเขียนเกี่ยวกับฐานนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ ในประเทศไทยหลายองค์กรไม่สามารถเข้าถึงฐาน Scopus ได้ แต่ Scopus มีบริการฟรีอันหนึ่งที่น่าสนใจคือ Author Preview ซึ่งหากเราเข้าเว็บไซต์ของ Scopus ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ เราจะเห็นหน้าเว็บลักษณะนี้  โดย Link สำหรับใช้ Author Preview จะอยู่ตรงที่ผมวงสีแดงในภาพนี้

     เมื่อคลิกเข้าไปจะเห็นหน้าค้นหาดังนี้


     ซึ่งเราสามารถใส่ชื่อ หรือนามสกุลของผู้ที่ต้องการค้นได้ เช่น ผมใส่นามสกุลของผม แล้วกดค้นจะได้ผลดังนี้
      จากนั้นเมื่อคลิกที่ชื่อที่ตรงกับที่ต้องการ (ในกรณีนี้มีชื่อเดียว แต่ว่าชื่อคนต่างชาติมีการซ้ำกันเยอะ) จะเห็นหน้าแสดงรายละเอียดการตีพิมพ์ผลงานที่อยู่ในฐานของ Scopus พร้อมกับจำนวนการอ้างอิงผลงาน (ตัวเลขในคอลัมน์ขวาสุด) เพียงแต่ไม่สามารถอ่านรายละเอียดได้ว่าบทความที่อ้างอิงงานของเราคือใคร นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เว็บนี้ส่งให้คนอืนดูได้หากต้องการได้เนื่องจาก Scopus ได้สร้างหมายเลข ID ให้เราซึ่งจะไม่ซ้ำกับคนอื่น




วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Publication charge



        แม้ว่าในปัจจุบันวารสารส่วนใหญ่จะไม่เรียกเก็บค่าตีพิมพ์ (publication charge, page charge) จากผู้เขียน แต่ก็ใช่ว่าการตีพิมพ์นั้นจะฟรีเสมอไป โดยทั่วไปการตีพิมพ์บทความนั้นตั้งแต่สมัยก่อนมาก็จะตีพิมพ์เล่มเป็นขาวดำดังนั้นหากผู้เขียนต้องการให้วารสารตีพิมพ์ภาพสี เช่น เป็นภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศ์ที่มีการย้อมสีเซลล์ที่สนใจ วารสารส่วนใหญ่จะขอเก็บเงินสำหรับหน้าที่ตีพิมพ์เป็นสี  แม้ว่าตัวฉบับ Online นั้นปัจจุบันวารสารจะตีพิมพ์ภาพสีและกราฟที่เป็นสีให้ฟรี
        นอกจากนี้จะมีส่วนที่อาจจะเป็นราคาที่แพงคือ Open Access (OA) option ซึ่งวารสารใหญ่ๆ ส่วนใหญ่จะทำระบบนี้ไว้ให้กับบทความที่ได้รับการ accept แล้ว นั่นคือหากผู้เขียนต้องการให้วารสารเปิดบทความของผู้เขียนนั้นๆ เป็นแบบ Open access ทันทีที่ตีพิมพ์ ผู้เขียนก็จะต้องจ่ายเงิน โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 3,000 USD ก็ประมาณ 1 แสนบาทเท่านั้นเอง ถ้าสงสัยว่าแล้วการที่ทำให้เป็น OA มันดีอย่างไร เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่จะเปิดอ่านบทความของวารสารต่างๆ ได้ เช่นใน ScienceDirect นั้นจะต้องมีการจ่ายเงินค่า subscription แก่ทางบริษัทเสียก่อน เช่น ถ้าเป็นนักศึกษาในประเทศไทย นั้น สกอ. จะเป็นผู้จ่ายให้แล้วให้มหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าใช้ได้ แต่ถ้าเป็นในประเทศอื่น แต่ละมหาวิทยาลัยก็อาจจะต้องจ่ายเงินเอง เป็นต้น แต่ก็มีอีกหลายประเทศ อีกหลายมหาวิทยาลัยที่ไม่สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลเหล่านี้ได้ หมายความว่าเขาไม่สามารถอ่านบทความของเราได้  ถ้าเราทำให้บทความของเราเป็น OA ไม่ว่าใครบนโลกนี้ก็สามารถดาวโหลด full text ของเราไปอ่านได้ฟรีๆ
        บางวารสารในสาย Food Science & Technology ที่ยังมีการเก็บเงินค่าตีพิมพ์นั้นก็มีอยู่ โดยส่วนใหญ่เป็นวารสารของสมาคมวิชาชีพซึ่งอาจจะไม่มีรายได้มากนัก (การจัดทำวารสารก็มีต้นทุน)

Journal
การเก็บค่าตีพิมพ์
สำหรับกรณีที่ผู้แต่งไม่ได้เป็นสมาชิกของ IFT เก็บหน้าละ 120 USD แต่ถ้าไม่มีเงินจ่าย ต้องทำจดหมายขอยกเว้นซึ่งลงนามโดยผู้เขียนและหัวหน้าต้นสังกัด
ส่วนภาพสีคิดภาพละ 500 USD
เก็บหน้าที่เกินจาก 7 หน้า (เมื่อจัดหน้าก่อนการตีพิมพ์แล้ว) หน้าละ 100 GBP
จ่ายค่า reprint (บทความที่ตีพิมพ์แล้ว เอาไว้ให้คนอื่นได้) อย่างน้อย 50 ชุด ประมาณ 30,000 Yen
 

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Scope and Speed


          การเลือกวารสารที่จะตีพิมพ์นับเป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องตัดสินใจเป็นอันดับแรกๆ ในกระบวนการเขียนเปเปอร์ (หลังจากมีงานวิจัยเพียงพอที่จะตีพิมพ์) ซึ่งโดยทั่วไปนักวิจัยก็อยากตีพิมพ์ในวารสารที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดในสาขาของตน โดยอาจดูที่ค่า Impact factor (IF) เปรียบเทียบกันระหว่างวารสารในกลุ่มที่คิดว่าเป็นเป้าหมาย เช่น ถ้าเป็นวารสารด้าน Food Science & Technology ก็หาค่า IF ของวารสารต่างๆ มานั่งดู แล้วก็เลือกวารสารที่เข้าข่ายอยู่ในสาขาของงานวิจัยที่ได้ทำไป ซึ่งปัจจุบันวารสารขนาดใหญ่จะระบุขอบเขต (scope) ที่ค่อนข้างชัดเจน อย่างเช่น ตัวอย่างของ LWT- Food Science and Technology (ภาพที่ 1) นั้นเขาก็ระบุว่าเราตีพิมพ์งานในกลุ่ม food chemistry, biochemistry, microbiology, technology, nutrition แต่งานที่เน้นการทดสอบในสัตว์ทดลองนั้นจะไม่รับพิจารณา  ข้อมูลนี้ควรเป็นสิ่งที่เราต้องอ่านให้ละเอียดเวลาเลือกวารสาร




ภาพที่ 1 ตัวอย่าง scope ของวารสาร LWT- Food Science and Technology  (http://www.journals.elsevier.com/lwt-food-science-and-technology)


หรืออย่างวารสาร Carbohydrate Polymers เขาก็ทำตัวอย่างบทความที่มักจะไม่ได้รับการพิจารณาในวารสารดังภาพที่ (2)


 


ภาพที่ 2 ตัวอย่าง scope ของวารสาร Carbohydrate Polymers     (http://www.journals.elsevier.com/carbohydrate-polymers)

         นอกจาก scope แล้วสิ่งที่ควรดูคือจำนวนเล่มของการตีพิมพ์ แม้ว่าปัจจุบันวารสารส่วนใหญ่ตีพิมพ์เดือนละเล่มเป็นส่วนใหญ่ (12 issues/year) แต่ก็มีวารสารชนาดเล็กอีกพอควรที่ตีพิมพ์ 6 issues บ้าง หรือบางที่แค่ 4 issues ก็มี ที่มากกว่าที่อื่นก็อย่างเช่น Journal of Agricultural and Food Chemistry ที่ออกเป็นรายสัปดาห์ (52 issues/year) จำนวนเล่มการตีพิมพ์ก็จะส่งผลถึงระยะเวลาของการ peer review ถ้าต้องพิมพ์มากก็ต้องมีเรื่องที่วารสารรับเข้ามามาก ดังนั้นก็ต้องมีระบบการ peer review ที่รวดเร็ว (ภาพที่ 3, 4) ในทางตรงกันข้ามวารสารที่ตีพิมพ์น้อยกระบวนการก็มักจะช้าตามไปด้วย (ภาพที่ 5)
 



ภาพที่ 3 ตัวอย่างการดูประวัติของบทความใน Food Chemistry ฉบับล่าสุด อันนี้ได้รับต้นฉบับ (received) วันที่ 29 August, ได้รับฉบับแก้ไข (revised) วันที่ 16  October, และตอบรับตีพิมพ์ (Accepted) วันที่ 19 October รวมกระบวนการ peer review เพียง 7 สัปดาห์



ภาพที่ 4 ตัวอย่างการดูประวัติของบทความใน Journal of Agricultural and Food Chemistry ฉบับล่าสุด อันนี้ได้รับต้นฉบับวันที่ March 27, revised วันที่ June 07, และตอบรับวันที่  June 18 รวมกระบวนการ peer review ประมาณ 2 เดือน


ภาพที่ 5 ตัวอย่างการดูประวัติของบทความใน Journal of Food Quality ฉบับล่าสุด รับต้นฉบับวันที่ 23 Aug, 2014  และตอบรับวันที่ 28 June, 2015 รวมกระบวนการ peer review ประมาณ 10 เดือน


          ดังนั้นหากใครมีงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงและพร้อมจะ challenge ก็แนะนำว่าส่งวารสารที่ IF สูงๆ ตีพิมพ์เยอะๆ ก็จะมีโอกาสได้รับตีพิมพ์เร็ว แต่ถ้าคุณภาพงานของเรายังไม่ดีพอก็ต้องเผื่อเวลา (และทำใจ) สำหรับกระบวนการ peer review ไว้ซัก 6-12 เดือน