แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ publication แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ publication แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2560

h-index


              ค่า h-index เป็นค่าทีใช้บ่งบอกถึงความสามารถในการตีพิมพ์ผลงานและการที่ผลงานถูกนำไปอ้างอิงต่อซึ่งสามารถหาค่า h-index ทั้งของระดับบุคคล หน่วยงาน ประเทศ หรือของวารสารก็ได้ การคิดนั้นก็ง่ายมากโดย h-index นิยามว่าเป็นจำนวนบทความ (h) ที่ได้รับการอ้างอิงอย่างน้อยจำนวน h ครั้ง อย่างเช่น ถ้านาย A มีค่า h-index = 5 หมายความว่านาย A มีบทความ 5 บทความที่ได้รับการนำไปอ้างอิงต่ออย่างน้อย 5 ครั้ง ในขณะที่นาย B มีค่า h-index = 10 หมายความว่านาย B มีบทความ 10 บทความที่ได้รับการนำไปอ้างอิงต่ออย่างน้อย 10 ครั้ง จะเห็นได้ว่าการที่นาย B มี h-index ถึง 10 นั้นแปลว่า (1) นาย B ต้องมีการตีพิมพ์อย่างน้อย 10 เรื่อง และ (2) แต่ละเรื่องได้ถูกนำไปอ้างอิงอย่างน้อย 10 ครั้ง ดังนั้น h-index จึงเป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงความ active ของนักวิจัยในการผลิตงาน พร้อมกับบอกว่างานที่ผลิตนั้นแต่ละเรื่องมีผู้สนใจนำไปอ้างอิงต่อเยอะและสม่ำเสมอเพียงใด ค่า h-index นี้ขึ้นกับฐานข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูล เช่น ISI, Scopus, Google ต่างมีฐานของตัวเองและค่า h-index จากแต่ละฐานก็อาจจะต่างกันได้

              อย่างไรก็ตามค่า h-index ก็ไม่ใช้ตัวชี้วัดตัวเดียวที่มีการใช้กัน เนื่องจากบางครั้งต้องยอมรับว่าหากทำสร้างผลงานมางานไม่เยอะแต่เป็นผลงานที่สำคัญมากๆ อาจจะมีค่า h-index ต่ำๆ แต่มีผลกระทบมากก็เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น Peter Higgs เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ผู้ค้นพบอนุภาค Higgs  มีค่า h-index บน Scopus เพียง 9 และตีพิมพ์เพียง 16 บทความเท่านั้น ศาสตราจารย์ Higgs เองเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาคงหางานทำในมหาวิทยาลัยปัจจุบันไม่ได้แน่ๆ เพราะเขาคงถูกมองว่าไม่ active เพียงพอ
 

จากการลองค้นค่า h-index ของ นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเคมีบางคนบนฐานข้อมูล Scopus ซึ่งค้นได้จาก https://www.scopus.com/freelookup/form/author.uri ได้ผลดังนี้

ชื่อ
จำนวนบทความ
h-index
Jean-Pierre Sauvage (2016)
424
84
Tomas Lindahl (2015)
239
92
Eric Betzig (2014)
115
43

              แน่นอนว่าพอมีการรายงานค่า h-index นี้มา ก็มีการนำมาใช้ประโยชน์กันบ้างโดยมักใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาบางอย่าง เช่น Scopus จะมีการตรวจสอบ h-index ของคนที่เป็นบรรณาธิการ (editor) ของวารสารเพื่อพิจารณานำวารสารเข้าฐานข้อมูลซึ่งตามความเข้าใจของผมก็คือคนที่จะมาเป็นบรรณาธิการวารสารควรเป็นนักวิจัยที่ active ในการตีพิมพ์และตีพิมพ์ผลงานในระดับที่มีคนนำไปอ้างอิงเยอะๆ เสียก่อนที่จะมาตัดสินผลงานของคนอื่นๆ เช่นเดียวกันในบ้านเราเอง สกว. มีการให้ทุนพัฒนาเครือข่ายวิจัยนานาชาติซึ่งกำหนดให้หัวหน้าโครงการจะต้องมี h-index อย่างน้อย 10


วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เมื่อไม่มี Beall's list แล้ว

     จากที่เคยเขียนอธิบายถึง Beall's list ซึ่งเป็นบล็อกที่พยายามนำรายชื่อของวารสารและสำนักพิมพ์ที่มีพฤติกรรมในการตีพิมพ์ผลงานที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างเหมาะสมมาเป็นระยะเวลาหลายปีนั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาปรากฏว่าบล็อกดังกล่าวได้ลบข้อมูลรายชื่อวารสารต่างๆ ออกจากหน้าบล็อกไปเรียบร้อยแล้วโดย Asscociate Professor Jeffrey Beall จากมหาวิทยาลัย University of Colorado Denver เจ้าของบล็อกไม่ได้ชี้แจงใดๆ




     รายชื่อวารสารที่อยู่ภายใต้รายชื่อของบล็อกดังกล่าวได้ถูกใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวารสารวิชาการมาเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยในประเทศไทยเองหน่วยงานต่างๆ เช่น สกอ. หรือ สกว. ก็มีการยึดถือรายชื่อวารสารเหล่านี้เป็นวารสารที่ไม่ยอมรับเช่นกัน

    อย่างไรก็ตามเราสามารถหาดูข้อมูลบนบล็อกที่ถูกเก็บไว้ได้จาก http://archive.is/T9SuJ  หรือ http://web.archive.org/web/20161222020349/https://scholarlyoa.com/publishers/



วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การจัดลำดับมหาวิทยาลัยโลก (World University Ranking) 2

   สำหรับเกณฑ์ในการจัดลำดับมหาวิทยาลัยของ THE นั้นทาง THE ระบุว่าเป็นการประเมินมหาวิทยาลัยที่เน้นการวิจัย (research- intensive university) โดยใช้เกณฑ์ 13 ตัว เพื่อประเมินองค์ประกอบหลักของมหาวิทยาลัย คือ การสอน (teaching), การวิจัย (research), การถ่ายทอดองค์ความรู้ (knowledge transfer) และ ความเป็นสากล (international outlook) โดยในปี 2015-2016 นี้เขาได้แบ่งกลุ่มตัวชี้วัดออกเป็น 5 กลุ่มคือ
1. การสอน (สิ่งแวดล้อมของการเรียนการสอน) 30%
   - การสำรวจชื่อเสียงด้านการสอน  15%
   - สัดส่วนอาจารย์ต่อนักศึกษา 4.5%
   - สัดส่วนนักศึกษาปริญญาเอกต่อปริญญาตรี 2.25%
   - การให้ทุนปริญญาเอกแก่บุคคลากร  6%
   - รายได้ 2.25%
2. การวิจัย (ปริมาณ, รายได้, ชื่อเสียง) 30%
   - ชื่อเสียง 18%
   - เงินวิจัย 6%
   - ผลงานตีพิมพ์บนฐาน Scopus 6%
3. การอ้างอิง บนฐาน Scopus  30%
4. ความเป็นสากล (บุคคลากร, นักศึกษา, การวิจัย) 7.5%
   - สัดส่วนนักศึกษาต่างชาติต่อนักศึกษาในประเทศ 2.5%
   - สัดส่วนอาจารย์ต่างชาติต่อนักศึกษาในประเทศ 2.5%
   - ความร่วมมือระดับนานาชาติโดยดูจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ 2.5%
5. รายได้จากอุตสาหกรรม (การถ่ายทอดองค์ความรู้) 2.5%

   นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้สอนระดับปริญญาตรี หรือมหาวิทยาลัยที่มีงานวิจัยน้อยกว่า 200 บทความต่อปีตลอดช่วงปี 2010 -14 จะไม่ได้รับการพิจารณา

   ส่วนการเก็บข้อมูลนั้นเป็นการเก็บข้อมูลโดยตรงจากมหาวิทยาลัยต่างๆ นอกจากนี้ข้อมูลบางอย่างเช่น ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยจะได้จากการทำสำรวจ (survey) แบบออนไลน์ 
  

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หาชื่อย่อวารสารด้วย CASSI

      ในการเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารหรือส่งไปงานประชุมวิชาการนั้นหลายครั้งจำเป็นต้องเขียนเอกสารอ้างอิงโดยใช้ชื่อวารสารแบบย่อ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะย่อเองได้ เว็บที่เป็นแหล่งข้อมูลทางบรรณานุกรมของวารสารที่สำคัญคือ The CAS Source Index (CASSI) Search Tool ซึ่งเราสามารถเข้าใช้ได้ฟรี ซึ่งหลังจากกดยอมรับเงื่อนไขเข้ามาแล้วจะเห็นหน้าสำหรับค้นหาวาสาร

   เช่นถ้าผมอยากได้ชื่อย่อของวารสาร Food Chemistry ก็พิมพ์ชื่อวารสารเข้าไปและกด search ก็จะได้ผลออกมาโดยที่อาจจะมีหลายชื่อที่มีคำว่า food กับ chemistry เนื่องจากเราไม่ได้เลือกคลิกตรง "Exact match"

    เมื่อคลิกเลือกดูที่รายการ Food Chemistry ซึ่งตรงกับวารสารที่เราต้องการจะเห็นรายละเอียดดังนี้


     ตรงที่ผมไฮไลท์สีเหลืองคือชื่อย่อของวารสาร


การค้นหาการอ้างอิงผลงานด้วย Scopus Author Preview

      Scopus เป็นฐานข้อมูลผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ขนาดใหญ่ซึ่งผมเคยเขียนเกี่ยวกับฐานนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ ในประเทศไทยหลายองค์กรไม่สามารถเข้าถึงฐาน Scopus ได้ แต่ Scopus มีบริการฟรีอันหนึ่งที่น่าสนใจคือ Author Preview ซึ่งหากเราเข้าเว็บไซต์ของ Scopus ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ เราจะเห็นหน้าเว็บลักษณะนี้  โดย Link สำหรับใช้ Author Preview จะอยู่ตรงที่ผมวงสีแดงในภาพนี้

     เมื่อคลิกเข้าไปจะเห็นหน้าค้นหาดังนี้


     ซึ่งเราสามารถใส่ชื่อ หรือนามสกุลของผู้ที่ต้องการค้นได้ เช่น ผมใส่นามสกุลของผม แล้วกดค้นจะได้ผลดังนี้
      จากนั้นเมื่อคลิกที่ชื่อที่ตรงกับที่ต้องการ (ในกรณีนี้มีชื่อเดียว แต่ว่าชื่อคนต่างชาติมีการซ้ำกันเยอะ) จะเห็นหน้าแสดงรายละเอียดการตีพิมพ์ผลงานที่อยู่ในฐานของ Scopus พร้อมกับจำนวนการอ้างอิงผลงาน (ตัวเลขในคอลัมน์ขวาสุด) เพียงแต่ไม่สามารถอ่านรายละเอียดได้ว่าบทความที่อ้างอิงงานของเราคือใคร นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เว็บนี้ส่งให้คนอืนดูได้หากต้องการได้เนื่องจาก Scopus ได้สร้างหมายเลข ID ให้เราซึ่งจะไม่ซ้ำกับคนอื่น




วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Scope and Speed


          การเลือกวารสารที่จะตีพิมพ์นับเป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องตัดสินใจเป็นอันดับแรกๆ ในกระบวนการเขียนเปเปอร์ (หลังจากมีงานวิจัยเพียงพอที่จะตีพิมพ์) ซึ่งโดยทั่วไปนักวิจัยก็อยากตีพิมพ์ในวารสารที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดในสาขาของตน โดยอาจดูที่ค่า Impact factor (IF) เปรียบเทียบกันระหว่างวารสารในกลุ่มที่คิดว่าเป็นเป้าหมาย เช่น ถ้าเป็นวารสารด้าน Food Science & Technology ก็หาค่า IF ของวารสารต่างๆ มานั่งดู แล้วก็เลือกวารสารที่เข้าข่ายอยู่ในสาขาของงานวิจัยที่ได้ทำไป ซึ่งปัจจุบันวารสารขนาดใหญ่จะระบุขอบเขต (scope) ที่ค่อนข้างชัดเจน อย่างเช่น ตัวอย่างของ LWT- Food Science and Technology (ภาพที่ 1) นั้นเขาก็ระบุว่าเราตีพิมพ์งานในกลุ่ม food chemistry, biochemistry, microbiology, technology, nutrition แต่งานที่เน้นการทดสอบในสัตว์ทดลองนั้นจะไม่รับพิจารณา  ข้อมูลนี้ควรเป็นสิ่งที่เราต้องอ่านให้ละเอียดเวลาเลือกวารสาร




ภาพที่ 1 ตัวอย่าง scope ของวารสาร LWT- Food Science and Technology  (http://www.journals.elsevier.com/lwt-food-science-and-technology)


หรืออย่างวารสาร Carbohydrate Polymers เขาก็ทำตัวอย่างบทความที่มักจะไม่ได้รับการพิจารณาในวารสารดังภาพที่ (2)


 


ภาพที่ 2 ตัวอย่าง scope ของวารสาร Carbohydrate Polymers     (http://www.journals.elsevier.com/carbohydrate-polymers)

         นอกจาก scope แล้วสิ่งที่ควรดูคือจำนวนเล่มของการตีพิมพ์ แม้ว่าปัจจุบันวารสารส่วนใหญ่ตีพิมพ์เดือนละเล่มเป็นส่วนใหญ่ (12 issues/year) แต่ก็มีวารสารชนาดเล็กอีกพอควรที่ตีพิมพ์ 6 issues บ้าง หรือบางที่แค่ 4 issues ก็มี ที่มากกว่าที่อื่นก็อย่างเช่น Journal of Agricultural and Food Chemistry ที่ออกเป็นรายสัปดาห์ (52 issues/year) จำนวนเล่มการตีพิมพ์ก็จะส่งผลถึงระยะเวลาของการ peer review ถ้าต้องพิมพ์มากก็ต้องมีเรื่องที่วารสารรับเข้ามามาก ดังนั้นก็ต้องมีระบบการ peer review ที่รวดเร็ว (ภาพที่ 3, 4) ในทางตรงกันข้ามวารสารที่ตีพิมพ์น้อยกระบวนการก็มักจะช้าตามไปด้วย (ภาพที่ 5)
 



ภาพที่ 3 ตัวอย่างการดูประวัติของบทความใน Food Chemistry ฉบับล่าสุด อันนี้ได้รับต้นฉบับ (received) วันที่ 29 August, ได้รับฉบับแก้ไข (revised) วันที่ 16  October, และตอบรับตีพิมพ์ (Accepted) วันที่ 19 October รวมกระบวนการ peer review เพียง 7 สัปดาห์



ภาพที่ 4 ตัวอย่างการดูประวัติของบทความใน Journal of Agricultural and Food Chemistry ฉบับล่าสุด อันนี้ได้รับต้นฉบับวันที่ March 27, revised วันที่ June 07, และตอบรับวันที่  June 18 รวมกระบวนการ peer review ประมาณ 2 เดือน


ภาพที่ 5 ตัวอย่างการดูประวัติของบทความใน Journal of Food Quality ฉบับล่าสุด รับต้นฉบับวันที่ 23 Aug, 2014  และตอบรับวันที่ 28 June, 2015 รวมกระบวนการ peer review ประมาณ 10 เดือน


          ดังนั้นหากใครมีงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงและพร้อมจะ challenge ก็แนะนำว่าส่งวารสารที่ IF สูงๆ ตีพิมพ์เยอะๆ ก็จะมีโอกาสได้รับตีพิมพ์เร็ว แต่ถ้าคุณภาพงานของเรายังไม่ดีพอก็ต้องเผื่อเวลา (และทำใจ) สำหรับกระบวนการ peer review ไว้ซัก 6-12 เดือน