แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Journal แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Journal แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เมื่อไม่มี Beall's list แล้ว

     จากที่เคยเขียนอธิบายถึง Beall's list ซึ่งเป็นบล็อกที่พยายามนำรายชื่อของวารสารและสำนักพิมพ์ที่มีพฤติกรรมในการตีพิมพ์ผลงานที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาอย่างเหมาะสมมาเป็นระยะเวลาหลายปีนั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาปรากฏว่าบล็อกดังกล่าวได้ลบข้อมูลรายชื่อวารสารต่างๆ ออกจากหน้าบล็อกไปเรียบร้อยแล้วโดย Asscociate Professor Jeffrey Beall จากมหาวิทยาลัย University of Colorado Denver เจ้าของบล็อกไม่ได้ชี้แจงใดๆ




     รายชื่อวารสารที่อยู่ภายใต้รายชื่อของบล็อกดังกล่าวได้ถูกใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของวารสารวิชาการมาเป็นระยะเวลานานหลายปี โดยในประเทศไทยเองหน่วยงานต่างๆ เช่น สกอ. หรือ สกว. ก็มีการยึดถือรายชื่อวารสารเหล่านี้เป็นวารสารที่ไม่ยอมรับเช่นกัน

    อย่างไรก็ตามเราสามารถหาดูข้อมูลบนบล็อกที่ถูกเก็บไว้ได้จาก http://archive.is/T9SuJ  หรือ http://web.archive.org/web/20161222020349/https://scholarlyoa.com/publishers/



วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หาชื่อย่อวารสารด้วย CASSI

      ในการเขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารหรือส่งไปงานประชุมวิชาการนั้นหลายครั้งจำเป็นต้องเขียนเอกสารอ้างอิงโดยใช้ชื่อวารสารแบบย่อ ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะย่อเองได้ เว็บที่เป็นแหล่งข้อมูลทางบรรณานุกรมของวารสารที่สำคัญคือ The CAS Source Index (CASSI) Search Tool ซึ่งเราสามารถเข้าใช้ได้ฟรี ซึ่งหลังจากกดยอมรับเงื่อนไขเข้ามาแล้วจะเห็นหน้าสำหรับค้นหาวาสาร

   เช่นถ้าผมอยากได้ชื่อย่อของวารสาร Food Chemistry ก็พิมพ์ชื่อวารสารเข้าไปและกด search ก็จะได้ผลออกมาโดยที่อาจจะมีหลายชื่อที่มีคำว่า food กับ chemistry เนื่องจากเราไม่ได้เลือกคลิกตรง "Exact match"

    เมื่อคลิกเลือกดูที่รายการ Food Chemistry ซึ่งตรงกับวารสารที่เราต้องการจะเห็นรายละเอียดดังนี้


     ตรงที่ผมไฮไลท์สีเหลืองคือชื่อย่อของวารสาร


วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Peer review



           ในวงการวิชาการนั้นถือว่าการตีพิมพ์บทความจะเป็นที่ยอมรับเมื่อบทความนั้นผ่านการ Peer review (เพียร์รีวิว) หรือเราเรียกว่าได้มี "การกลั่นกรองโดยกรรมการภายนอก" หมายความว่าต้นฉบับ (manuscript) ที่เราเตรียมสำหรับตีพิมพ์นั้นไม่ใช่ว่าพอส่งถึงวารสารแล้วเขาก็จะรับไปตีพิมพ์เลยทันที โดยปรกติแล้วเมื่อวารสารได้รับต้นฉบับเขาอาจมีคนที่ทำหน้าที่ดูในเบื้องต้น ในเรื่องของการจัดรูปแบบของต้นฉบับว่าได้ทำตามข้อกำหนดของวารสารหรือไม่ เช่น แต่ละหัวข้อใช้เป็นลำดับตัวเลขหรือไม่ต้องมี และที่สำคัญคือรูปแบบของการเขียนอ้างอิง จากนั้นวารสารก็จะกำหนด Editor (บรรณาธิการ) ที่จะดูแลต้นฉบับนั้นๆ ซึ่งบางวารสารก็มี Editor คนเดียว บางวารสารก็มีหลายๆ คนขึ้นกับสายงานวิจัย บางครั้ง Editor นี่ก็จะเป็นคนพิจารณาต้นฉบับเราก่อนอีก เช่น ถ้าอ่านแล้ว เรื่องไม่เข้ากับขอบเขต (scope) ของวารสาร เช่น วารสาร Food Engineering มักจะไม่รับพิจารณาบทความที่ไม่มีส่วนของ engineering เลย หรือต้นฉบับเขียนมาด้วยภาษาที่แย่มากเกินเขาก็อาจจะปฏิเสธที่จะรับพิจารณาได้เลย (เช่น ภาพที่ 1 เรื่องบนสุด ทางวารสารแจ้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่งาที่เกี่ยวข้องกับ Food โดยตรงจึงไม่รับพิจารณา)

           หากต้นฉบับของเราเตรียมมาอย่างดี มีการตรวจเรื่องภาษาอังกฤษแล้ว เนื้อหาอยู่ใน scope ของวารสาร Editor ก็จะส่งต้นฉบับเราให้กับ Reviewer หรือเราเรียกว่า "ผู้อ่าน" หรือถ้าเป็นของไทยมักเรียก "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ซึ่งมักจะเป็นนักวิจัยที่อยู่ในสายเดียวกับเรื่องที่ส่งไป โดยการเลือก reviewer นั้นก็มีอยู่กัน 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบแรกนั้นบางวารสารจะยอม (หรือบางครั้งบังคับ) ให้เราเสนอชื่อ reviewer ที่สามารถพิจารณาเรื่องของเราได้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของผู้เขียนว่าจะเสนอใครก็ได้ แต่ทาง Editor ก็จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะส่งต้นฉบับนั้นให้คนที่ผู้เขียนเสนอมาหรือไม่  อีกแบบก็คือวารสารเป็นผู้หา reviewer เองโดยไม่ถามผู้เขียนเลย โดยทั่วไปวารสารมักจะหา reviewer อย่างน้อย 2 คน วารสารอาจจะมีชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติเป็น reviewer สำหรับแต่ละเรื่องในมือแล้วก็ได้ หรือบางวารสารก็ใช้การเลือก reviewer จากรายชื่อซึ่งอาจจะมาจากคนที่เคยตีพิมพ์งานในด้านนั้นๆ เป็นต้น แล้วส่งอีเมล์ไปถามว่าคนคนนั้นสนใจจะอ่านต้นฉบับนั้นๆ ให้หรือไม่ การกระจายด้วยอีเมล์ทำให้บางครั้งต้นฉบับอาจถูกอ่านโดย reviewer 3 หรือ 4 คนก็ได้           
          
           ไม่ว่าจะได้ reviewer มาด้วยวิธีการใด เมื่อ reviewer ได้รับบทความ ก็จะมีหน้าที่อ่านและพิจารณาคุณภาพและความเหมาะสมว่าวารสารควรจะตีพิมพ์ต้นฉบับนั้นหรือไม่ ซึ่งโดยทั่วไปก็มีประเด็นที่ reviewer ต้องทำการประเมินหลายประเด็น แต่หลักๆ ก็ได้แก่การค้นพบใหม่ (Scientific new findings) หรือ Novelty ของบทความ นั้นคือความใหม่หรือสิ่งที่ค้นพบใหม่นั้นอยู่ในระดับใด จากนั้นก็เป็นเรื่องของคุณภาพการนำเสนอบทความ เช่น คุณภาพของภาพ (ทำกราฟมาอ่านรู้เรื่องหรือไม่) คุณภาพของตาราง (ทำเป็นตารางแล้วอ่านรู้เรื่องหรือไม่) เรื่องภาษา เป็นต้น โดย reviewer สามารถจะเขียนระบุไปได้ว่าตรงไหนของงานไม่ดี รวมถึงตั้งคำถามต่างๆ ที่สงสัย หรือเห็นว่าควรเพิ่มอะไรตัดอะไร เหมือนกับเวลาอาจารย์ตรวจเล่มวิทยานิพนธ์ของนักศึกษานั่นเอง แต่อาจารย์มักจะรู้เรื่องงานของนักศึกษา แต่ reviewer ไม่สนใจว่าเราทำงานมาอย่างไร แต่เขาสนใจว่า "ควร" จะทำงานอย่างไรมากกว่า  จากนั้นท้ายสุด reviewer จะต้องลงความเห็นว่าจะรับ (accept) หรือไม่รับ  (reject) บทความนั้นๆ หรืออาจจะให้แก้ไขก่อน (revision) ซึ่งก็จะมีแบบ minor revision (แก้ไขนิดหน่อย จุดที่ไม่สำคัญ) หรือ major revision (ต้องแก้ไขเยอะมาก และเป็นจุดสำคัญ)

           เมื่อ reviewer  ทุกคนที่วารสารได้ขอให้อ่านบทความนั้นๆ ส่งผลการพิจารณามาให้แล้ว ก็เป็นอำนาจการตัดสินใจของ Editor ที่จะต้องตัดสินผลจากความคิดเห็นต่าง ๆของ reviewer ทุกคนซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างกันก็ได้ แต่ Editor มักจะยึดความคิดเห็นของ reviewer  ที่วิจารณ์และตรวจลงในรายละเอียดมากกว่า reviewer ที่แค่บอกว่า ดี ผ่าน แค่นั้น หากบทความของเราไม่ได้ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ (reject) โดยส่วนใหญ๋ก็คือวารสารก็จะให้เวลากับผู้เขียนเพื่อแก้ไขตามสิ่งที่ถูกวิจารณ์ หรือโต้แย้ง (rebuttal) ได้ ซึ่งบางครั้งคำวิจารณ์ก็อาจจะรุนแรง บางครั้งก็มาแบบถนอมน้ำใจ บางครั้งก็บอกว่าให้ไปทำแล็บเพิ่มแล้วจึงจะยอมรับ ก็ขึ้นกับเราว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าคิดว่าสามารถแก้ไขได้ (เช่น แค่เขียนแก้ไขใหม่ เรียบเรียงใหม่ แก้ไขกราฟ วิจารณ์เพิ่ม) ก็แก้ไขไป (revise)  แต่บางครั้งถ้าต้องทำแล็บเพิ่มแต่เราไม่สามารถทำได้แล้ว เราก็มีสิทธิขอถอน (withdraw) บทความ
          หากเราตัดสินใจแก้ไข เมื่อเราดำเนินการเรียบร้อยแล้วภายในระยะเวลาที่วารสารกำหนดเราก็จะ submit บทความที่เป็น revised version เข้าไปใหม่ ซึ่ง Editor คนเดิมก็อาจจะแค่ดูว่าเราแก้ไขตามที่วิจารณ์ไปเรียบร้อยหรือไม่หากเป็น minor revision หรือบางครั้งก็จะส่งให้ reviewer ใหม่อีก (ซึ่งอาจจะเป็นคนเดิม หรือคนใหม่ก็ได้อีก) จากนั้น Editor ก็มักจะตัดสินใจว่าจะ accept หรือ reject กระบวนการนี้ก็จะวนซ้ำได้หลายรอบ  (ภาพที่ 1)


ภาพที่ 1 ตัวอย่างผลการ Peer review ของบทความหนึ่ง ในครั้งแรกเป็น Major revision หลังจากแก้ไขแล้วก็ยังได้เป็น Minor revision อีก ก้ไขอีกรอบ ก็ยัง Minor revision อีกรอบ แก้ไขรอบสุดท้ายจึงได้ Accept

ISI, Scopus, TCI, Beall's List, ... (ตอนที่ 4)



        ประเทศไทยเองก็มีวารสารวิชาการที่จัดทำโดยหน่วยงานต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะวารสารระดับมหาวิทยาลัย (และระดับคณะ) นั้นค่อนข้างเยอะกว่าปรกติ ในขณะที่วารสารระดับสมาคมวิชาชีพกลับมีค่อนข้างน้อย การจัดทำวารสารระดับมหาวิทยาลัยโดยส่วนใหญ่ก็ได้รับงบประมาณจากต้นสังกัดดังนั้นวารสารเหล่านี้จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการหารายได้ วารสารที่จัดพิมพ์ส่วนใหญ่ก็ส่งไปตามห้องสมุดของหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาของเว็บไซต์วารสารในประเทศไทยส่วนหนึ่งก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการเปิดออนไลน์แบบ Open Access กันเป็นส่วนใหญ่ซึ่งก็ช่วยให้การเข้าถึงบทความมีมากขึ้น และลดต้นทุนการพิมพ์วารสารได้ในระดับหนึ่ง ที่จริงแล้วเนื้อหาทางวิชาการของบทความในวารสารไทยนั้นบางส่วนก็มีคุณภาพสูงเพียงแต่ว่าเนื่องจากเป็นเรื่องที่มีลักษณะ local มากกว่า global จึงอาจนำไปตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติได้ยาก

           ในปี 2544 ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ของมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ริเริ่มการจัดตั้งศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย หรือ Thai-Journal Citation Index (TCI) Centre โดยได้รับการสนับสนุนจาก สกว. (และอีกหลายหน่วยงานในปัจจุบัน) เพื่อดำเนินการจัดทำตัวบ่งชี้ของวารสารในลักษณะเดียวกับค่า Impact factor ของ ISI เพียงแต่ใช้ข้อมูลของวารสารไทยที่อยู่ในฐานข้อมูลของ TCI เท่านั้น เนื่องจากในอดีตนั้นการเข้าถึงวารสารไทยมีค่อนข้างน้อย การอ้างอิงบทความของไทยก็น้อยมาก โดยพบว่าในอดีตนั้นวารสารไทยโดยเฉลี่ยมีค่า Thai IF นั้นอยู่ในระดับ 0.0XX เท่านั้นเอง

          ศูนย์ TCI ก็ได้เริ่มรณรงค์ให้หน่วยงานต่างๆ นำวารสารวิชาการที่จัดทำมาเข้าสู่ฐานข้อมูลของ TCI ทำให้นักวิจัยไทยมีแหล่งค้นหาบทความวิจัยภาษาไทยได้สะดวกมากขึ้นอีกหน่อย (ฐาน TCI ค้นได้แค่ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสารเท่านั้น) และเมื่อประมาณปี 2554 TCI ก็ได้เริ่มประเมินคุณภาพของวารสารที่อยู่ในฐานข้อมูลเพื่อจัดกลุ่มวารสารออกเป็น 1, 2 และ 3 (กลุ่ม 1 ดีที่สุด) และได้ดำเนินการประเมินมาจนในปี 2558 นี้มีการประเมินรอบที่ 3 แล้ว โดยสำหรับวารสารของมหาวิทยาลัยศิลปากรทั้ง 3 วารสารคือ Silpakorn University Science and Technology Journal (สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี), Silpakorn University Journal ofSocial Sciences, Humanities and Arts (สายสังคมศาสตร์) และวารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร (สายสังคมศาสตร์) นั้นก็ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม 1 ในขณะที่วารสาร Veridian E-Journal Science and Technology, Silpakorn University (สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)  และ Veridian E-Journal, Silpakorn University (สายสังคมศาสตร์) ของบัณฑิตวิทยาลัยนั้นอยู่ในกลุ่ม 2 ซึ่งแน่นอนว่าการจัดกลุ่มก็ทำให้หน่วยงานอย่าง สกว. และ สกอ. ให้น้ำหนักกับวารสารกลุ่ม 1 มากกว่ากลุ่มอื่นๆ 




ภาพที่ 1 ผลการประเมินวารสารไทยของ TCI ในปี 2558 (http://www.kmutt.ac.th/jif)